มิตซูบิชิ มอเตอร์ส – กลุ่ม ปตท. ร่วมศึกษาธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร ทั้งผลิต-ขาย-ส่งออก-บริการ

: มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น (“มิตซูบิชิ มอเตอร์ส”) และมิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด (“MMTh”) ประกาศความร่วมมือกับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) และบริษัท อรุณพลัส จำกัด (“อรุณพลัส”) แกนนำธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าของ ปตท. ร่วมกันศึกษาธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า xEV ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ทั้งการผลิตในประเทศไทย การขายภายในประเทศ และการส่งออกสู่ตลาดต่างประเทศ รวมถึงบริการที่เกี่ยวข้อง โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนให้เกิดความเป็นกลางทางคาร์บอนในประเทศไทย

จากภาพ:

ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เป็นประธานในพิธีลงนามแสดงเจตจำนงเพื่อศึกษา และร่วมมือธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย โดยมี นายเชิดชัย บุญชูช่วย (ที่ 2 จากซ้าย) รองกรรมการผู้จัดการใหญ่นวัตกรรมและธุรกิจใหม่ ปตท. มร. มาซากิ  สึเกะโนะ (ที่ 2 จากขวา) เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น พร้อมด้วย มร. โนโบรุ สึจิ (ขวาสุด) ประธานคณะกรรมการบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย และ นายเอกชัย ยิ้มสกุล (ซ้ายสุด) กรรมการผู้จัดการบริษัท อรุณ พลัส จำกัด ร่วมพิธี ณ ห้องพลังไทย 2 อาคาร ปตท. สำนักงานใหญ่

ด้วยประสบการณ์ และความชำนาญของ ปตท.  ในฐานะผู้นำด้านธุรกิจและอุตสาหกรรมพลังงานของประเทศไทย รวมถึงแนวคิดในการพัฒนาระบบนิเวศสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า กอปรกับการที่ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส มีแผนยุทธศาสตร์มุ่งส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า มิตซูบิชิ มอเตอร์ส จึงมองเห็นโอกาสที่จะริเริ่มความร่วมมือระหว่างกลุ่มบริษัท ซึ่งรวมไปถึงการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า xEV และธุรกิจบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

มร. ทาคาโอะ คาโตะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ให้ความเห็นเกี่ยวกับความร่วมมือดังกล่าวว่า “ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่สำคัญที่สุดสำหรับยุทธศาสตร์การดำเนินงานในต่างประเทศของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส โดยกว่า 60 ปีของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย เราได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจไทย ทั้งด้านการผลิตรถยนต์ การจำหน่ายในประเทศ และการส่งออก โดยหวังว่าความร่วมมือนี้จะผลิดอกออกผลเป็นความสำเร็จที่เราร่วมสร้างไปด้วยกัน เพื่อส่งเสริมประสบการณ์ที่ดี ด้วยการบริหารจัดการทรัพยากรที่บริษัททั้งสี่นั้นมีพร้อมอยู่แล้ว ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจของประเทศไทย และสอดคล้องกับนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน”

Exit mobile version