ไอเสียจากรถยนต์นั้นมีก๊าซพิษอยู่หลายชนิด ซึ่งปัจจุบันข้อกำหนดการปล่อยไอเสีย Euro 6 ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะมันส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว เรามาดูกันว่าไอเสียที่รถยนต์แต่ละคันปล่อยออกมามีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง
1. คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เป็นตัวการทำให้ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากรถของคุณเพิ่มมากขึ้น มันเป็นข้อกำหนดสำหรับนโยบายการเก็บภาษีรถยนต์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และทุกฝ่ายให้ความสำคัญกับมันมากที่สุด อย่างไรก็ตาม รถยนต์ใหม่ในยุโรปจะต้องมีค่าเฉลี่ยการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 95 กรัม/กิโลเมตร ภายในปี 2021
2. คาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) เป็นอีกหนึ่งมลพิษที่เป็นที่รู้จักกันดีจากไอเสียของรถยนต์ เป็นสารก่อมลพิษที่ทำให้เกิดควันสีขาว แต่มันก็เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาชนิดหนึ่งที่ช่วยกำจัดของเสียจากเครื่องยนต์ได้ดี มาตรฐาน Euro 6 กำหนดข้อบังคับเกี่ยวกับการปล่อยคาร์บอนมอนอกไซด์ไว้ที่ 0.5 กรัม/กิโลเมตร สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล และ 1.0 กรัม/กิโลเมตร สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน ซึ่งผลิตออกมามากกว่า
3. ไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) รวมถึงไนตรัสออกไซด์ (N2O) และไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) ทั้งสามตัวนี้นี่เองที่เป็นประเด็นใหญ่โตเกี่ยวกับที่ Volkswagen โกงระบบการทดสอบการปล่อยมลพิษในสหรัฐอเมริกาและอื่นๆ อย่างไรก็ตามยังมีน้ำยา AdBlue และสารละลายยูเรียแบบน้ำชนิดอื่นๆ ที่ออกแบบมาเพื่อลดการปล่อยก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ให้น้อยลง มาตรฐาน Euro 6 กำหนดการปล่อยก๊าซไนโตรเจนออกไซด์อยู่ที่ 0.08 กรัม/กิโลเมตร ในเครื่องยนต์ดีเซลและ 0.06 กรัม/กิโลเมตร ในเครื่องยนต์เบนซิน
4. อนุภาคขนาดเล็กทั้งของแข็งหรือของเหลว ส่วนใหญ่จะเกิดจากเครื่องยนต์ดีเซล และพบในเครื่องยนต์เบนซินด้วย มีตั้งแต่เศษเขม่าจนถึงสารพิษที่เผาไหม้ไม่หมด มันเป็นความกังวลด้านสุขภาพที่สำคัญที่ต้องมีการคิดค้นเพื่อพยายามที่จะลดปริมาณอนุภาคเหล่านี้ให้น้อยลง มาตรฐาน Euro 6 กำหนดปริมาณของเสียเหล่านี้ไว้ที่ 0.005 กรัม/กิโลเมตร
5. ไฮโดรคาร์บอน (THC และ NMHC) รวมทั้งเบนซีนและไอโซออกเทน เหล่านี้จะรวมอยู่ในก๊าซไอเสียที่ปล่อยออกมา มันเป็นโมเลกุลของน้ำมันเชื้อเพลิงที่เผาไหม้ไม่เต็มประสิทธิภาพและหลายชนิดมีความเป็นพิษสูง ส่วนมลพิษอื่น ๆ ที่พบในปริมาณน้อยประกอบด้วย ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2), ไนโตรเจน (ซึ่งไม่เป็นอันตราย) และไอน้ำ
หากคุณเป็นคนนึงที่อยากจะช่วยรักษ์โลก การเลือกใช้รถยนต์ไฮบริดหรือรถยนต์ไฟฟ้าก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจในระยะยาว แถมยังประหยัดเงินในกระเป๋า และไม่ต้องเข้าปั๊มเติมน้ำมันบ่อยๆ คาดว่าในอนาคตจะมีรถยนต์พลังงานทางเลือกมาให้ใช้มากขึ้น